fbpx

บทสัมภาษณ์นากาโอกะเซนเซย์และภรรยา

บทสัมภาษณ์คนไทยในญี่ปุ่นแรกของเราได้รับเกียรติจากทนายความ นากาโอกะเซนเซย์และภรรยา (พี่บี) สละเวลาให้เราได้เข้าไปสัมภาษณ์กันถึงที่ออฟฟิศเลยค่ะ

ความแตกต่างไม่ใช่การแตกแยก แต่เป็นการมองสิ่งดีๆ แล้วปรับเข้าหากันน่าจะดี 

    – นากาโอกะเซนเซย์

บทสัมภาษณ์

ไม่ทราบว่าตอนนี้ทำอาชีพเกี่ยวกับอะไรคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
งานที่ผมทำอยู่คือ เป็นเกี่ยวกับงานด้านกฎหมายครับ พอพูดถึงด้านกฎหมายก็จะค่อนข้างกว้างไปสักหน่อย เอาเป็นว่าหลักๆ ในงานของผมเลยก็คือการซัพพอร์ตคนต่างชาติให้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ จะว่าไปแล้วงานของผมก็จะคล้ายๆ กับบริการของแลนด์เฮ้าส์ซิ่งเลยก็คือ การทำให้ลูกค้าอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจใช่ไหมครับ
ในด้านกฎหมาย งานหลักของผมก็คือการช่วยเหลือด้านวีซ่าครับ สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น วีซ่าสำคัญมากนะครับ เพราะว่าเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ตั้งแต่การเกิด การเข้าเรียน ทำงาน สร้างบริษัท แต่งงาน หย่า จนกระทั่งเสียชีวิต จะมีเรื่องของวีซ่าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ซึ่งตรงนี้ก็คืองานของผม ซึ่งจุดเด่นของบริษัทผมนั้น ก็คงจะเป็นด้านการต้อนรับลูกค้าคนไทยครับ เพราะครอบครัวของผมกว่าครึ่งก็เป็นคนไทย อย่างบีซัง (ภรรยา) ดังนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่ของผมที่เข้ามาปรึกษาก็จะเป็นคนไทยครับ

ซึ่งก็คือซัพพอร์ตชาติอื่นๆ ด้วยใช่ไหมคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
แน่นอนครับ ถ้าเป็นเรื่องของวีซ่าทำงาน ก็จะมีหลากหลายชาติเลยครับ คนไทยจะเป็นส่วนน้อย แต่ถ้าเป็นด้านการแต่งงานและหย่าร้าง 80% จะเป็นคนไทยครับ
เราจะมีคนไทยปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวค่อนข้างเยอะครับ ที่เคยเจอก็คือ คนไทยที่ไม่มีสัญชาติ ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร แม่ก็เสียไปแล้ว เลยเดินเรื่องขอวีซ่าไม่ได้ ทางสถานทูตก็ติดต่อมาที่เราว่าจะทำยังไงดี ทางผมก็ไปที่เมืองไทยด้วยกัน ไปขอทะเบียนบ้านทำบัตรประชาชน จนได้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว ถึงแต่งงานได้ เพราะว่าคนที่ไม่มีสัญชาติจะไม่สามารถแต่งงานที่ญี่ปุ่นได้ครับ

พี่บี :
จะมีคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นมาโดยตลอดเหมือนเป็นคนญี่ปุ่นไปแล้ว ทำให้ไม่มีบัตรประชาชนของไทยเพราะแม่ไม่ได้จัดการให้ แล้วแม่ก็เสียไป พี่เลยต้องพาไปจัดการทำให้ถึงที่ไทย ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวก็ท้องอยู่ด้วย โชคดีที่ฝ่ายสามีก็ไปด้วยกัน แล้วไปพักกับพี่สาว อยู่ด้วยกันพักนึงจนเป็นเพื่อนกันไปเลย

นากาโอกะเซนเซย์ :
ใช่ครับ พอพวกเราได้ซัพพอร์ตเคสแบบนี้ ที่ไม่รู้ว่าพ่อและแม่เป็นใคร ไม่มีสัญชาติญี่ปุ่น เราก็เลยรู้ว่าเราสามารถทำเคสแบบนี้ให้คนไทยได้ จึงมีลูกค้าคนไทยมาปรึกษาในเรื่องนี้เยอะ ตอนนี้เราก็มีสต๊าฟคนไทยอยู่ 3 คนทำงานอยู่ด้วย

พี่บี :
นอกจากนี้ที่บริษัทยังเชี่ยวชาญเรื่องขั้นตอนการขอวีซ่าของคนไทยเป็นพิเศษ และคอยให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ ให้กับคนไทยได้ด้วย

นากาโอกะเซนเซย์ :
เรายังมีสต๊าฟอยู่ที่ไทยคอยช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน พี่สาวของบีซังนั่นเอง คอยดูแลคนไทยหลายๆอย่าง รวมถึงการติดต่อกับทางสำนักงานเขตมีเถียงกันอยู่บ่อยๆ ด้วย (หัวเราะ)

พี่บี :
ใช่ๆ เถียงกันเป็นประจำเลย (หัวเราะ) สำนักงานเขตในแต่ละที่เจ้าหน้าที่ก็ต่างกันไป วิธีการทำงานก็ไม่เหมือนกัน บางทีลูกค้าเอาเอกสารไปยื่น เจ้าหน้าที่ก็บอกไม่รู้จักไม่เคยเห็นใบรับรองแบบนี้ เราก็งงเลย นั่นมันงานของคุณนะคุณจะมาบอกว่าไม่รู้ได้ยังไง เราก็บอกให้เค้าไปเช็คดูดีๆ มันต้องมีตัวอย่างเอกสารให้เช็คได้บ้างแหละ คือคนไทยจะไม่ค่อยกล้าคุยกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยรู้ระบบระเบียบการเดินเอกสาร พอเจ้าหน้าที่พูดอะไรมาก็เป็นไปตามนั้น ไม่กล้าถาม ซึ่งไม่ได้นะ ปัญหาของเราเราต้องถามให้รู้เรื่อง ซึ่งก็จะเป็นเราที่ลุยให้จนผ่านมาได้ เพราะเจ้าตัวไม่กล้าคุยกับเจ้าหน้าที่ เราก็ต้องคอยถามว่าปัญหาคืออะไร พอรู้เราก็เข้าใจว่าต้องทำยังไงต่อ

เวลาลูกค้าติดต่อเข้ามา ไม่ใช่เพราะว่ามีปัญหาเรื่องเอกสารอย่างเดียว แต่จะเป็นการเข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องอื่นด้วยใช่ไหมคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
เวลาลูกค้าติดต่อเข้ามาก็จะบอกสิ่งที่กลุ้มใจอยู่ ซึ่งบางทีสิ่งที่บอกออกมากับต้นตอของปัญหาอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด ก็เหมือนกับเวลาที่เราบ่นให้เพื่อนฟัง บางทีสิ่งที่พูดออกมากับสิ่งที่ต้องการจริงๆ ก็อาจจะไม่เหมือนกัน ซึ่งบีซัง(ภรรยา) ก็จะสอบถามจนรู้ถึงต้นตอของปัญหาแล้วถึงจะรู้ว่าควรจะต้องจัดการยังไงต่อไป

พี่บี :
สมัยก่อนก็จะมีนะ ที่จ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยออกเอกสารให้เพื่อตัดปัญหา แต่สมัยนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว กฎหมายเข้มงวดขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ถูกต้อง อย่างบางคนแต่งงานแล้วหย่าแต่ไม่อยากเปลี่ยนนามสกุลยังอยากใช้นามสกุลสามีอยู่ ก็ไม่ยอมไปเดินเอกสารให้เรียบร้อย แต่มันไม่ได้นะ ถ้าชื่อ-สกุลเราในเอกสารแต่ละอย่าง เช่น ไซริว พาสปอร์ต บัตรประชาชนไทย ชื่อ-สกุลไม่ตรงกัน เวลาทำเรื่องอะไรก็จะเป็นปัญหา จะมาบอกว่าขี้เกียจทำไม่ได้ กฎหมายเค้ากำหนดมาเราก็ต้องปฏิบัติตามนั้น เราก็ต้องทำให้เรียบร้อย

นากาโอกะเซนเซย์ :
บอกว่าขี้เกียจ แต่เวลาเกิดปัญหามานี่ยาวเลยนะ (หัวเราะ) เพราะต้องสืบเรื่องราว ตอบคำถาม อธิบายอะไรต่างๆนานา สู้ทำให้จบๆไปตั้งแต่แรกดีกว่าครับ

พี่บี :
คนไทยจะชอบขี้เกียจไปเดินเรื่องที่สถานทูตหรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมื่อก่อนยังให้คนไปเดินเรื่องแทนได้นะ แต่เดี๋ยวนี้เจ้าตัวต้องไปเองเท่านั้น เราก็ต้องคอยอธิบายว่ามันเป็นอย่างนี้ๆนะเจ้าตัวต้องไปเองนะ

เวลาให้คำปรึกษาแต่ละครั้งนี่เป็นชั่วโมงๆ เลยเหรอคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
ครับ บีซังก็จะคอยรับฟัง และให้คำปรึกษาแบบนี้อยู่หลายคนเลยครับ

พี่บี :
ก็จะมีหลายคนเค้ามาปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย ซึ่งดิฉันก็จะคุยเรื่องแวดล้อมอย่างเช่นเรื่องของความรู้สึกลึกๆ ของเค้า ไปๆมาๆก็คุยกันไปถึงเรื่องอื่น ทั้งเรื่องที่กำลังกลุ้มใจหรือเรื่องที่ไม่กล้าคุยกับใคร จากการปรึกษาด้านกฎหมาย คุยกันจนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลยก็มีค่ะ บางคนก็ไม่ได้ต้องการให้ทำอะไร แค่อยากมีคนรับฟัง ขอแค่ได้ระบายก็พอ สุดท้ายเค้าก็บอกว่าดีใจที่ได้คุยกับเรา ซึ่งดิฉันก็รู้สึกดีใจมากเลยนะที่ได้รับคำขอบคุณจากคนอื่น ซึ่งก็กลายเป็นการบอกต่อกันปากต่อปากไปแล้วก็มีคนมาใช้บริการของเรา เพราะการรับฟังที่ดีและไม่โกหก

จากประสบการณ์ทำงานตรงนี้ คิดว่าอะไรคือสิ่งที่คนไทยควรระวังการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการไม่ยืมเงินเพื่อน กับไม่เล่นล็อตเตอรี่นะ อย่างเรื่องเงินเนี่ยทำลายความสัมพันธ์มานักต่อนักแล้ว อยากให้ระวังในเรื่องนี้ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
แล้วก็อีกเรื่องนึงคือ การฝึกภาษาญี่ปุ่นให้คล่อง อย่างวีซ่านักเรียนที่มาเรียนในโรงเรียนญี่ปุ่นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าคนที่มาด้วยวีซ่าแต่งงานนะ คนกลุ่มนี้ผมอยากให้ฝึกใช้ภาษาญี่ปุ่นให้คล่อง ความจริงตอนนี้ผมกำลังทำเนื้อหาการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์สำหรับคุณแม่และเด็กไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มในเดือนกันยายนนี้ เหตุผลที่เราเริ่มทำเรื่องนี้ เพราะคนไทยที่ถือวีซ่าแต่งงานที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นค่อนข้างมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นน้อย

คนไทยที่ถือวีซ่าแต่งงานของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นผู้หญิง มีหลายคนที่แต่งงานมีลูกแล้วหย่าร้าง ต้องใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ลูกๆส่วนมากก็จะเรียนจนถึงชั้นมัธยมต้น ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เช่น ผู้ปกครองไม่รู้ขั้นตอนว่าต้องทำยังไง หรือไม่ก็เพราะไม่ค่อยเข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยทำให้การงานมีข้อจำกัด หรือแม้จะมีงานทำค่าแรงก็ไม่ได้สูงมาก เลยให้ลูกอยู่บ้านส่วนตัวเองก็ออกไปทำงานร้านนวดหรือร้านอาหาร ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าฝึกภาษาให้คล่องกว่านี้จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมาก การที่ครอบครัวมีรายได้ไม่มาก ทำให้เด็กไม่มีโอกาส ทั้งที่เด็กมีทักษะทั้งภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น แต่ว่าเรียนจบแค่มัธยมต้น นอกจากเรื่องระดับการศึกษาแล้วเด็กก็เสียความมั่นใจด้วย ซึ่งสาเหตุก็มาจากเรื่องของภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผมเล็งเห็นตรงนี้เลยคิดทำโครงการนี้ขึ้นมา ถ้าภาษาญี่ปุ่นคล่องขึ้น ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาในการใช้ชีวิตประจำในญี่ปุ่นไปได้บ้าง ทำให้มีโอกาสต่างๆ มากยิ่งขึ้นด้วยครับ

แล้วทางฝ่ายพี่บีในฐานะคนไทย คิดว่าคนไทยด้วยกันเองที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นควรจะระวังเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้างคะ?

พี่บี :
สำหรับตัวพี่ที่มาอยู่ญี่ปุ่นมานานแล้วนะ สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือการคบคน และการดูแลตัวเองให้ได้ การอยู่ญี่ปุ่นถ้าจิตใจเราไม่เข้มแข็งพอพี่ว่าอยู่ยากนะ หนึ่งคือภาษาที่ต่างกัน ถ้าเราไม่เรียนรู้และเข้มแข็ง มันยากมากนะที่เราจะใช้ชีวิตในที่นี่ได้ เราจะคบแต่คนไทยอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในอนาคตข้างหน้าเราจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ อย่างตัวพี่เองยังไม่คิดเลยว่าจะอยู่มานานขนาดนี้ พี่มาอยู่ที่นี่เกือบ 19 ปีแล้ว ตอนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรกพี่ยังไม่รู้เลยว่าต้องมาอยู่ที่นี่ พี่มาด้วยวีซ่าทำงาน 6 เดือน จบครบเราก็กลับ พอครั้งที่สองก็มาด้วยวีซ่าแต่งงาน ตอนนั้นพี่ก็คิดว่าด้วยเศรษฐกิจอะไรต่างๆในเมืองไทยก็คิดว่ามาญี่ปุ่นน่าจะทำอะไรได้มากกว่าก็เลยตัดสินใจแต่งงานมาญี่ปุ่น พอมาวันแรกก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย

ก่อนมาที่ญี่ปุ่นกับหลังจากมาอยู่ญี่ปุ่นแล้ว ต่างจากที่เราคิดไว้อย่างไรบ้างคะ?

พี่บี :
ต่างจากที่คิดเยอะเลยค่ะ ก่อนมาเราก็คิดว่ามาถึงแล้วก็ไปอยู่บ้านสามี คอยดูแลสามีแล้วหางานทำทั่วไป แต่พอมาจริงแล้วพ่อแม่สามีไม่ให้เข้าบ้าน เจอแบบนั้นเลย นี่คืออีกอย่างนึงที่อยากเตือนคือเราต้องศึกษาวัฒนธรรมให้ดีๆ ด้วย แล้วอีกอย่างคือสามีไม่ได้บอกที่บ้านว่าแต่งงาน นี่แหละที่เราอยากบอกว่าจะคบใครดูให้ดีๆ แต่เอาจริงๆ มันก็เช็คยากนะเข้าใจ เพราะถ้าเค้าตั้งใจจะโกหกเรา พอเจอแบบนั้นเราก็อยากกลับไทยเลย แต่พอตั้งสติสักพักเราก็สู้ต่อ แต่กว่าจะเข้าไปอยู่ได้ก็ทะเลาะกันใหญ่โต ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ภาษาเลย โดนพ่อแม่สามีต่อว่าเราก็ไม่เข้าใจเลย เพราะงั้นถ้าเราไม่เรียนรู้และรู้จักที่จะเอาตัวรอดด้วยเนี่ย อยู่ยากมาก มีสิทธิ์เป็นโรคประสาทได้ง่ายเลยแหละ

นากาโอกะเซนเซย์ :
นั่นไม่ใช่พ่อแม่ผมนะครับ (หัวเราะ)

พี่บี :
ไม่ใช่ๆ สามีเก่านะ (หัวเราะ)

ไม่ทราบว่านากาโอเกะเซนเซย์กับภรรยาพบกันได้ยังไงคะ?

พี่บี :
พี่ไปขอให้เค้าช่วยทำวีซ่าให้ค่ะ ตอนพี่หย่าแล้วพี่จะต้องทำวีซ่าติดตามลูก (วีซ่าเทจู) ค่ะ

แสดงว่าตอนแรกเป็นสถานะลูกค้าใช่ไหมคะ?

พี่บี :
ใช่ (หัวเราะ)

นากาโอกะเซนเซย์ :
ตอนแรกเค้าก็ชวนจนเรารำคาญเลย (หัวเราะ) น่าจะครึ่งปีได้

จากตอนนั้นกี่ปีมาแล้วคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
น่าจะ 7-8 ปีมาแล้วนะ

พี่บี :
ใช่ๆ ตอนนั้นเค้ายังไม่มีล่ามด้วย บางทีเค้าก็มาขอให้พี่ช่วยเป็นล่าม ซึ่งก็อยู่ในฐานะลูกค้าด้วย ช่วยงานเค้าด้วย ก็เหมือนเป็นเพื่อนกัน ทำงานแลกค่าต่อวีซ่า (หัวเราะ) จนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยได้ค่าจ้างจากเค้าเลย (หัวเราะ)

นากาโอกะเซนเซย์ :
ผมก็ไม่เคยได้ (หัวเราะ)

พี่บี :
จ่ายด้วยชีวิตที่เหลือไง (หัวเราะ) พอพี่เจอเค้านั่นแหละ เค้าชวนพี่มาช่วยงานนี้ พี่ก็รู้สึกได้ว่าพี่ช่วยคนไทยได้จริงๆ ซึ่งพี่ดีใจมาก มีลูกค้าหลายๆคนที่เคยช่วยเหลือเค้ายังคบกันมาจนถึงตอนนี้ ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ไปร้องคาราโอเกะกันบ้าง กลายเป็นเพื่อนกันไปเลย พอพี่มาช่วยงานก็ได้สามีช่วยสอนเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย หลายๆคนคิดว่าพี่เรียนกฎหมายมา ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย สามีช่วยสอนให้ พอแต่งงานกันแล้วมาอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันก็ยิ่งรู้หลายเรื่องมากขึ้น ทำให้พี่ช่วยเหลือคนไทยได้มากยิ่งขึ้น

คิดว่ามีวัฒนธรรมไทยอะไรบ้างที่ต่างจากญี่ปุ่นในความรู้สึกของตัวเองบ้างคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
สำหรับผม ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของสายสัมพันธ์ในครบครัวนะค่อนข้างจะต่างกับญี่ปุ่นในมุมมองของผม แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องของการมองถึงอนาคตนะ ไม่ได้หมายความว่าอะไรผิดอะไรถูกนะครับ เพราะจริงๆ แล้วแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าในภาพรวมแล้วผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความสุขในชีวิตปัจจุบันขณะมากกว่า ซึ่งตรงนี้จะต่างกับคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ผมคิดว่าแต่ละอย่างมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียกันคนละแบบนะ

พี่บี :
สำหรับพี่ พี่คิดว่าเรื่องศาสนานะ คล้ายกันก็จริงแต่มีความแตกต่าง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นไปวัดแบบศาสนาไทยแล้วรู้สึกดีใจนะ ก่อนหน้านี้พี่ก็เพิ่งไปบวชชีมา 9 วัน ผมนี่สามีก็เป็นคนตัดออกให้ทั้งหมด พอพี่เห็นคนญี่ปุ่นไปที่วัด แม้จะไม่ได้มีความเชื่อแบบคนไทยแต่ก็รู้สึกได้ว่าพอเค้าไปไหว้พระแล้วสีหน้าดูผ่อนคลาย เห็นแล้วก็รู้สึกดีไปด้วยค่ะ

นากาโอกะเซนเซย์ :
ในทางกลับกัน ผมก็มองว่าคนไทยกับคนญี่ปุ่นก็มีเรื่องที่คล้ายกันหลายเรื่องนะ เช่น เรื่องการอ่านสถานการณ์ การรู้สึกถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย และความเกรงใจ ซึ่งผมก็มองว่าคนไทยกับคนญี่ปุ่นนี่ก็คล้ายกันนะ ในเรื่องของความแตกต่าง บางทีก็เป็นเรื่องดีนะผมว่า อย่างเรื่องสายสัมพันธ์ในครอบครัว หรือเรื่องของการสนุกกับปัจจุบันของคนไทย ผมก็มองว่าถ้าคนญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมความคิดแบบนี้มาบ้างก็น่าจะดี ซึ่งพอคนไทยกับคนญี่ปุ่นมาอยู่ด้วยกันแล้วรับรู้ถึงความต่างตรงนี้แล้วเรียนรู้ด้านดีๆ ของกันและกันก็ยิ่งยอดเยี่ยม ความแตกต่างไม่ใช่การแตกแยก แต่เป็นการมองสิ่งดีๆ แล้วปรับเข้าหากันน่าจะดี

สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากบอกคนไทยที่อยากมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นไหมคะ?

นากาโอกะเซนเซย์ :
ในฐานะคนญี่ปุ่นแบบผมนะ ผมอยากให้คนไทยที่มาญี่ปุ่นหลอมรวมความเป็นไทยกับญี่ปุ่นแล้วประดิษฐิ์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา คนรอบตัวผมหรือแม้กระทั่งผมเองนั้น ไม่มีใครที่จะดูถูกคนไทยเลย มีแต่จะนับถือด้วยซ้ำ ผมรู้จักคนไทยหลายๆคนที่นี่ที่เค้าทำงานกับคนญี่ปุ่นแล้วผลิตผลงานยอดเยี่ยมออกมาไม่น้อยเลย อย่างคุณปอน ครีเอทีฟคนไทยที่มีสำนักงานในญี่ปุ่น เค้าผลิตงานร่วมกับคนญี่ปุ่นเจ๋งๆ ออกมามากมาย นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกคนไทยทุกคนที่อยากมาที่นี่

พี่บี :
สำหรับพี่ก็อย่างที่บอกเลยนะคะ สำหรับคนไทยจะมาอยู่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาเรียนหรือแต่งงานมาก็ตามนะคะ ก่อนมาอยากจะให้ศึกษาข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่เราจะมาอาศัยอยู่ก่อน หรือมีข้อมูลที่ถูกต้องที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถที่จะเข้ามาดูข้อมูลที่ website ของบริษัทเราหรือของสถานทูตไทยก็ได้ ในนั้นจะมีข้อมูลที่จำเป็นเกือบทั้งหมดอยู่ อยากให้ทุกคนศึกษาด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าพอเกิดปัญหาแล้วบอกว่าไม่รู้จะไปหาที่ไหน แค่เราหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ก็จะมีข้อมูลให้ศึกษาเกือบทั้งหมดแล้ว

อีกเรื่องนึงก็คือความอดทน ถ้ามีปัญหา เช่น ปัญหาครอบครัว เดี๋ยวนี้ทางสถานทูตมีรับปรึกษาทางออนไลน์ได้ ปรึกษากับทางสถานทูตดีที่สุด เข้าไปปรึกษาทาง Hotline ได้ คุยเป็นภาษาไทยเลย หรือถ้าเป็นเรื่องกฎหมายทางสถานทูตเค้าก็จะแนะนำให้เลยว่าควรไปที่ไหนยังไง หาข้อมูลในแหล่งที่ถูกต้อง อย่าไปถามเพื่อน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของกฎหมาย อาจจะได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเป็นข้อมูลเก่ายังไม่อัพเดทล่าสุด ให้เข้าไปดูในเว็บของสถานทูตไทยคือดีที่สุดสำหรับคนไทยไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของประเทศญี่ปุ่น หลายครั้งแล้วคำว่าเพื่อนบอก ทำให้เราพลาดข้อมูลดีๆ ที่ควรจะรู้นานแล้ว เพราะไปหาผิดจุด การถามเพื่อนหรือในกลุ่ม Facebook ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี คนที่เค้าบอกก็มีความตั้งใจที่ดีที่อยากจะช่วยเหลือเรานั่นแหละ หรือในความรู้สึก การพูดให้เพื่อนหรือคนอื่นฟังก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกดีที่ยังมีคนห่วงเรา เพียงแต่การรับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญเท่านั้น ซึ่งในบางเรื่องการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นค่ะ

เกี่ยวกับผู้ให้สัมภาษณ์

สดใส สำนักงานทนายความ
http://www.akarui-home.com
3-9-27 Kamiosaki, Shinakawa-ku, Tokyo, 141-0021
TEL : 03-6455-6835 / FAX : 03-6455-6836
Email : info@akarui-home.com

Related post

  1. ความแตกต่างระหว่างบริษัทฝรั่งกับบริ…

  2. การเช่าที่จอดจักรยานในประเทศญี่ปุ่น…

  3. เบอร์โทรศัพท์ญี่ปุ่นยังจำเป็นอยู่ไห…

  4. สตาร์บัคภาษามือ สาขาแรกในญี่ปุ่น

  5. 5 ร้านคอมพิวเตอร์แนะนำในย่าน Akihab…

  6. ข้อปฏิบัติในการพกยาเข้าประเทศญี่ปุ่น

    NEW! ข้อปฏิบัติในการพกยาเข้าประเทศญ…

  7. 10 ประโยคอวยพรปีใหม่ภาษาญี่ปุ่น

  8. ความเชื่อเรื่องกรุ๊ปเลือดของคนญี่ปุ…