หากเอ่ยถึงชื่อประเทศที่หลายๆคนอาจสนใจและย้ายมาอยู่ เชื่อว่าประเทศญี่ปุ่นคงเป็นชื่อที่ติดอันดับสำหรับใครหลายๆคนอย่างแน่นอน เพราะมีความเจริญในด้านต่างๆทัดเทียมไม่แพ้ประเทศตะวันตก ที่สำคัญยังมีวัฒนธรรมและอาหารที่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก รวมทั้งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกมาตลอด การขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพทำให้การเดินทางสะดวก นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีรายได้มั่นคง และฐานะทางเศรษฐกิจสูงเป็นอับดับต้นๆของโลก ทำให้มีชาวต่างชาติหลายคนย้ายเข้ามาทำงานและวางแผนที่จะซื้อบ้าน/คอนโดเป็นของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามก่อนการตัดสินใจซื้อบ้านในญี่ปุ่น เราควรศึกษารายละเอียดต่างๆให้ถี่ถ้วนก่อน และนี่คือ 6 ข้อควรรู้ก่อนพิจารณาซื้อบ้านในญี่ปุ่นที่ทาง LandHousing ขอมานำเสนอครับ/ค่ะ
เลือกทำเลให้ถูกต้องก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างจากหลายๆประเทศ ในแง่ที่ว่าราคาบ้านและที่ดินมีแนวโน้มที่จะลดลงได้ หากซื้อบ้านและที่ดินในญี่ปุ่นที่อยู่นอกเขตเมืองหลักเช่น โตเกียว, โอซาก้า, ฟุกุโอกะ, ซัปโปโร โดยมีปัจจัยหลักๆมาจากมาตรฐานการก่อสร้าง, ประชากรลดจำนวนลงในขณะที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น, การย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองหลัก, และความนิยมบ้านใหม่มากกว่าบ้านมือสอง กล่าวคือหากเลือกซื้อบ้านในญี่ปุ่นโดยไม่คำนึงถึงทำเลให้ดี อาจทำให้เกิดการผิดหวังจากการเก็งกำไร หรือขายบ้านในอนาคตได้ โดยทาง LandHousing ยินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำในส่วนนี้ครับ/ค่ะ
การกู้ยืมเงินสดจากธนาคารในญี่ปุ่น
หากไม่ได้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นและไม่มีการงานที่มั่นคง รายได้ดี ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น ดังนั้นทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการซื้อด้วยเงินสด หรือ ขอสินเชื่อจากประเทศของตนเอง เพื่อใช้ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี การจ่ายด้วยเงินสดสามารถช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองได้อย่างมาก มีกรณีที่ผู้ซื้อสามารถลดราคาลงได้ถึงประมาณ 20% จากราคาที่ตั้งไว้ ด้วยการยื่นข้อเสนอซื้อแบบเงินสด หากพิจารณาร่วมกับปัจจัยอย่างระยะเวลาที่ทรัพย์อยู่ในตลาด และแรงจูงใจของผู้ขาย ผู้ซื้อมีโอกาสพลิกจากดีลที่ดีให้กลายเป็นดีลที่ยอดเยี่ยมได้อย่างง่ายดาย
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลังซื้อ
- ภาษีอสังหาริมทรัพย์: 1.4% ของราคาประเมิน เรียกเก็บทุกปี
- ภาษีเมือง / ภาษีเทศบาล: สูงสุด 0.3% ของราคาประเมิน เก็บในบางพื้นที่ เช่น โตเกียว, โยโกฮาม่า
- ประกันอัคคีภัย: 20,000 – 80,000 เยน / 5 ปี ขึ้นกับพื้นที่ ขนาดบ้าน และรายละเอียดแผนประกัน หากเป็นแผนครอบคลุมถึงกรณีเหตุแผ่นดินไหวราคาอาจสูงกว่าแผนทั่วไป
- ค่าซ่อมแซม / รีโนเวท: แล้วแต่สภาพทรัพย์
- ค่าส่วนกลาง (สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด): 5,000 – 30,000 เยน/เดือน เป็นค่าดูแลพื้นที่ส่วนกลางอาคาร
- กองทุนซ่อมแซมใหญ่ (สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด): 5,000 – 20,000 เยน/เดือน สำหรับบำรุงรักษาระยะยาว เช่น ลิฟต์, ท่อ, ภายนอก
- ค่าดูแล/บริหารจัดการทรัพย์ (ถ้ามี): หากไม่ได้พำนักอยู่เป็นประจำ จำเป็นต้องมีผู้ช่วยดูแลทรัพย์ เช่นเปิดบ้านเพื่อให้อากาศถ่ายเท / ตัดหญ้า โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 – 10,000 เยนต่อชั่วโมง ซึ่งราคาอาจสูงกว่านี้หากต้องการคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ เช่น นิเซโกะ
ตรวจสอบสภาพทรัพย์ด้วยตนเอง
ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถตรวจดูบ้านแบบออนไลน์ได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทางเราแนะนำให้ตรวจสอบสภาพจริงด้วยตนเองจะดีที่สุด เพื่อที่จะได้เห็นจุดบางจุดที่ไม่สามารถเห็นผ่านรูปหรือวิดีโอได้ นอกจากนี้ ผู้ซื้อจะได้สัมผัสบรรยากาศของบ้านด้วยตนเอง และลองจินตนาการถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสำรวจบริเวณรอบบ้าน ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น:
- บรรยากาศเงียบสงบหรือมีเสียงรบกวนจากถนนใหญ่หรือสถานบันเทิงใกล้เคียงหรือไม่
- มีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตในระยะเดินถึงหรือไม่
- การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟหรือรถบัสสะดวกหรือไม่
- มีโรงเรียนหรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับครอบครัวอยู่ใกล้หรือไม่
- ละแวกรอบบ้านปลอดภัยหรือไม่ โดยเฉพาะเวลากลางคืน
การสังเกตสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้น และมั่นใจว่าทรัพย์นั้นเหมาะกับการอยู่อาศัยระยะยาว
จ้างผู้ตรวจสอบอาคาร (Building Inspector) ก่อนตัดสินใจซื้อ
การซ่อมแซมโครงสร้าง ระบบประปา ไฟฟ้า และหลังคาในญี่ปุ่นนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และปัญหาเหล่านี้มักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นการจ้างผู้ตรวจสอบอาคารก่อนยื่นข้อเสนอซื้อบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ควรทำอย่างยิ่ง
- ค่าตรวจสอบโดยเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 50,000–70,000 เยน
- หลังการตรวจสอบ ผู้ตรวจสอบจะจัดทำ รายงานสภาพบ้านเป็นลายลักษณ์อักษร (ภาษาญี่ปุ่น)
- แนะนำให้ ไปดูสถานที่จริงขณะตรวจสอบด้วยตนเอง เพราะคุณจะได้เรียนรู้รายละเอียดที่ อาจไม่ระบุไว้ในรายงาน ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการตัดสินใจ
เลือกตัวแทนที่ไว้ใจได้ในการช่วยดำเนินการ
ผู้ซื้อควรเลือกตัวแทนที่มีใบอนุญาตจากสมาคมค้ำประกันอสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นสมาคมที่มีบทบาทในการรับรองความปลอดภัยในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ในกรณีเกิดข้อพิพาท ทางสมาคมยังรับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคและเป็นตัวกลางในการดำเนินการไกล่เกลี่ยกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสมาชิกอีกด้วย ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างสบายใจ โดยทาง LandHousing เป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมเช่นเดียวกัน
