“Pay–pay!” เสียงที่มักได้ยินตามร้านสะดวกซื้อและร้านค้าต่าง ๆ เวลาจ่ายเงินที่ญี่ปุ่น ถ้าพูดถึง Prompt-pay ที่ประเทศไทยแล้ว ที่ญี่ปุ่นก็มีวิธีการชำระเงินโดยสแกน QR code เช่นกัน แพลตฟอร์มที่ฮิตที่สุดในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า PayPay ช่วยให้การจ่ายเงินแบบ Cashless สะดวกและเป็นที่นิยมอย่างมาก
LandHousing ได้มีโอกาสพูดคุยกับพนักงานคนไทยที่ได้มีส่วนในการพัฒนาระบบนี้อีกด้วย วันนี้เราจะพาทุกท่านมาฟังมุมมองจากคนในสายงานนี้และได้หาที่พักกับ LandHousing ก่อนเดินทางมาทำงานที่ญี่ปุ่น ‘คุณพี’ หนึ่งใน App Platform Team
(อ้างอิงจาก Tech Talks vol.23 – App Platform Team)
ความท้าทายในสายงานนี้
คุณพีเปรียบเทียบเรื่องการเขียนโปรแกรมว่า ใช้ทั้งการแสวงหาและพรสวรรค์ ที่บอกว่า กึ่ง ๆ เป็นพรสวรรค์ เพราะว่าใครที่ทำได้ก็มีโอกาสไปไกลเลยทีเดียว
พูดถึงงานปัจจุบันและตำแหน่ง
Kotlin Multiplatform Mobile Engineer ที่ PayPay คุณพีช่วยขยายความให้เข้าใจง่ายเกี่ยวงานว่า ในบริษัทต้องทำระบบที่รองรับทั้ง Android กับ iOS แต่ทีมของคุณพีรับหน้าที่เขียนโค้ดบางส่วนที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งสองระบบ
ทำไมถึงเลือกที่จะมาทำงานและอยู่ในญี่ปุ่นกัน
คุณพีแยกออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ปัจจัยแรกคือ ส่วนตัวมีเพื่อนโปรแกรมเมอร์คนไทยที่เคยทำงานด้วยกันและย้ายมาอยู่ที่นี่ ส่วนอีกเหตุผลคือ สายเทคฯ หรือโปรเกรมเมอร์จะมีการสัมภาษณ์อยู่ 2 แบบด้วยกัน แบบแรกที่รู้จักกันในนาม Big Tech อย่าง Google, Facebook เขามักจะนิยมทดสอบผู้สมัครในเชิง Academic (วิชาการ) เหมือนตอนเรียนอย่างเช่น การฝึกทำ Algorithm แต่สำหรับที่ Paypay จะเป็นอีกแบบที่เรียกว่า Project-based นึกภาพตามง่าย ๆ คือ การสอบเหมือนตอนทำงานจริง
ขอแอบถามว่า อันนี้สอบเหมือนบริษัทที่ไทยไหม ( เท่าที่คุณพีมีประสบการณ์มา)
คุณพียกตัวอย่างมาว่า “เอาจริง ๆ ถ้าจะมีที่เข้มขนาดนี้ก็น่าจะเป็น Agoda, LineMan, Wongnai ครับ”
“เข้ม” ในที่นี่ขยายความว่า อาจจะมีทั้ง 2 แนวการสัมฯ อย่างที่พูดไปข้างต้น อย่าง Agoda ก็จะมีทั้ง Algorithm และ Project-based บางทีอาจจะมีแค่ Project-based บางที Algorithm อย่างเดียวขึ้นกับทีมที่ทำด้วย
อยากให้แชร์ Environment ในการทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
PayPay มีความ International มาก จึงทำให้คุณพีไม่ได้รู้สึกต่างจากการทำที่ไทยสักเท่าไหร่ ในโซน Dev ( ‘Developer’ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า เดฟ) มีพนักงาน Non-Japanese อยู่สักประมาณ 40-50% ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก และในที่ประชุมของบริษัทก็จะมีล่ามที่ต้องจองตัวมาเพื่อช่วยแปลเวลาประชุมด้วย
จุดที่ชอบและไม่ชอบในการทำงานที่ต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น
คุณพีถึงกับบอกว่า “ปัจจุบันชอบมาก เพราะเป็น 100% Work from home ไม่ต้องเดินทาง นาน ๆ เข้าออฟฟิศที และทีมยังให้อิสระในการให้งานอย่างแท้จริง ที่นี่ Open-to-idea จริง ๆ จากประสบการณ์ทำงาน 10 ปี คือมีอะไรก็สามารถเสนอได้ ทีมเล็ก ๆ 5 คน นึกอะไรออกก็สามารถแสดงอออกมาได้ แล้วเริ่มทำเป็นคอนเซปต์แล้วถ้าเวิคก็จัด”
จากจุดนี้ คุณพีก็ได้แชร์ประสบการณ์จากตอนทำงานที่ไทยอีกมุมว่า
“ซึ่งจากประสบการณ์ที่ไทย ที่บอกว่า Open เปิดรับความคิดเห็นแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้เปิดรับจริง ๆ มีแค่บางทีมเท่านั้น บางครั้งทำเสร็จแล้วก็อาจจะโดนปัดตกไปก็มี”
มีจุดปรับตัว สำหรับคนที่ไม่เคยมาญี่ปุ่นก่อนบ้างไหม ?
อันนี้ในมุมกลาง ๆ คุณพีมองว่า ในที่ทำงานก็อาจมีบุคลิกของคนบางประเภทที่ต้องปรับตัวเข้าหากันบ้าง
แล้วถ้าพูดถึงในการของการใช้ชีวิตที่นี่
เพราะว่าคุณพีไม่สามารถสื่อสารถภาษาญี่ปุ่นได้เลย จุดที่อึดอัดที่พบเจอคือ การที่คนส่วนใหญ่อาจจะฟังภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ตอบกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งทำให้สื่อสารไม่รู้เรื่องต้องพึ่งภาษามือบ้าง พึ่ง Translation บ้าง
มาดูข้อดีหรือสิ่งที่ชอบในญี่ปุ่นกันบ้าง
“อู้หูว Amazon Prime เลยครับ ส่งของไว บางทีสั่ง Groceries สั่งตอน 8-9 โมง บ่าย 2 โมงของมาส่งแล้ว และก็อากาศดีมาก และเงียบ” เมื่อขอให้ขยายความคำว่า “เงียบ” ตามแบบฉบับของคุณพี ก็คือ การเดินตามท้องถนนไม่ได้เหมือนไทยที่มี Noise ตลอด ทำให้ตอนนี้คุณพีนึกไม่ออกแล้วว่าที่ไทยมี Noise อย่างไรบ้าง
คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้หรือยัง
(เนื่องจากทำงานที่บ้านตลอด) คุณพีจึงไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ในไลฟ์สไตล์ก็มีความ Introvert เป็นสไตล์ที่คุณพีชอบ
เมื่อถามถึงสิ่งที่คุณพีต้องปรับตัวหลังจากมาอยู่ที่ญี่ปุ่น
สิ่งที่เจอแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนก็คือการที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ ช่วงมาแรก ๆ ที่มาถึงคุณพีเลือกจะทานร้านที่มีภาษาอังกฤษอย่าง พวก Sukiya (ปัจจุบันร้านอาหารแบบนี้จะใช้วิธีการกดสั่งอาหารผ่านแท็บเลต/ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ แทบไม่ต้องคุยกับพนักงานเลย)
ปรับมาโหมดจริงจังกันบ้าง มองอนาคตในสายงานนี้อย่างไร
“สายงานนี้ถ้าเรามองในภาพระดับโลกแล้ว บางส่วนมันเกิดจากการจ้างงานที่เยอะเกิน หรือบางคนอาจจะทำงานไม่ได้จริง อาจจะมีส่วนนึงที่ถูก lay-off แต่อย่างบางบริษัทอย่าง PayPay ก็ยังรับคนนะครับ
มีสาย Manager และ Individual Contributor ก็คือไม่ต้องเป็น Manager ก็เติบโตในสายงานนี้ได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ถ้าเทียบกับที่ไทยก็อาจจะมีแค่บางบริษัทที่อนุญาตให้คุณโตในสายเทคฯ ได้ นอกนั้นคุณอาจจะต้องเลื่อนไปเป็น Manager”
หากตัดภาพมามุมมองต่อสายงานนี้ในไทย คุณพีให้ความเห็นว่า
“ในไทยเหมือนก็ยังรับคนในสายงานเทคโนโลยีกันอยู่เรื่อย ๆ Tradition ก็ยังมีคนที่ทำงานได้ และทำงานไม่ได้ ตอนนี้หลาย ๆ แห่งยังคงรับคนอยู่ แต่อนาคตอันใกล้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเริ่มรู้กันแล้วว่า ใครทำงานได้หรือไม่”
แล้วถ้าเป็นระดับ Global
“ก็ยังไม่ต้องแพนิคไป เพราะถ้าคุณมีสกิลจริงไม่ต้องกลัว”
สุดท้ายให้คุณพีฝากอะไรกับ คนที่อยากมาทำงานสายเทคในญี่ปุ่น
ถ้าอยากทำในญี่ปุ่น ก็จะต้องมีการสปอนเซอร์วีซ่า (การดำเนินเรื่องวีซ่า) ใช่ไหมครับ ซึ่งก็จะมีแต่บริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งก็อาจจะสอบโหดหน่อย เพราะฉะนั้นก็ควรเช็คว่าบริษัทนั้นสัมภาษณ์แบบไหน และเตรียมตัวสัมภาษณ์เพื่อบริษัทนั้นเลย และไหน ๆ ที่อยากจะมาทำที่ญี่ปุ่นแล้ว ก็แนะนำให้สมัครไปหลาย ๆ ที่ และถ้าเขาเรียกสัมภาษณ์ก็พยายามไปสัมภาษณ์ให้หมดครับ
สุดท้ายนี้คุณพียังฝากลิ้งค์ของทีมมาให้ได้ชมสไตล์การทำงานของที่นี่อีกด้วย
สำหรับท่านที่สนใจการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นสามารถคลิกที่นี่เพื่ออ่านบทความในสายงานอื่นได้เช่นกันค่ะ ในครั้งหน้าเราจะได้ไปพูดคุยกับ Dev หรือคนในสายงานไหนกันอีกก็อย่าลืมติดตามพวกเราด้วยนะคะ